อย่าเสียเวลา



จงมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย ที่เป็นความใฝ่ฝันแห่งชีวิต

อย่าเสียเวลากับเรื่องน้อยนิด ที่ไม่เกี่ยวกับเป้าหมายในชีวิตของเราเอง

 

ไม่มีใครเกิดมา ...ไร้ค่า

แม้แต่คนโง่ที่สุด ยังฉลาดในบางเรื่อง  และคนฉลาดที่สุด ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ...

ไม่มีอะไรเสียเวลา ไปมากกว่า ... การคิดที่จะย้อนกลับ ไปแก้ไขอดีต

ไม่เคยมีอะไร ช้าเกินไป ...ที่จะทำให้สิ่งที่ตนฝันเป็นจริง

คนที่ไม่เคยหิว ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม

ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ...

อันตรายที่สุดของชีวิตคนเรา คือ การคาดหวัง


อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่

เหตุผลของคนๆ หนึ่ง ...อาจไม่ใช่เหตุผลของคน อีกคนหนึ่ง

ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า ...ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
   
ปัญหาทุกอย่าง ...ล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น

ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ

คนเรา ...ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง

แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้นที่ได้ทำ ...

หัวใจของการเดินทาง ...ไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย

หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง ...มากกว่า


คิดบวก


การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะเป็นในด้านการงาน , อาชีพ หรือครอบครัวนั้น อาจต้องอาศัยมูลเหตุมาจากหลากหลายปัจจัย เช่น คุณต้องมีความคิด ต้องวางแผน เมื่อคิด หรือวางแผนแล้วต้องลงมือทำตามแผนนั้น จึงจะประสบความสำเร็จได้ หรือ เมื่อมีโอกาส และคุณเองก็มีความสามารถพร้อมที่จะไขว่คว้าโอกาสนั้น ขณะที่คนอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ คุณก็ย่อมมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น

การคิดบวก ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน หลายคนอาจจะมีคำถาม ว่าทำไมการคิดบวกจึงมีส่วนช่วยให้เราประสบความสำเร็จ

การคิดบวกในสถานการณ์ต่าง ๆ มักทำให้เราเห็นโอกาสที่แฝงอยู่ในวิกฤตเสมอ ทำให้เราสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองได้ทุก ๆ สถานการณ์ ทำให้เกิดความสบายใจ และเป็นสุข เป็นการเปลี่ยนมุมมองความคิดที่ต่างจากคนทั่วไป เช่น

“เวลาเราเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ”  หรือ

“เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต”


“การคิดบวก” เป็นสิ่งที่คนเราสามารถที่จะนำมาปฏิบัติได้ไม่ยากมากนัก แต่สิ่งที่อาจเป็นปัญหาสำหรับหลาย ๆ คน ก็คือ จะทำอย่างไรให้สามารถที่จะคิดบวกได้ทุกขณะที่เกิดปัญหา หรือเหตุการณ์ต่างๆ อันไม่พึงประสงค์ ในชีวิตของเรา เพราะโดยธรรมชาติของคนเราที่ยังฝึกฝนตนเองได้ไม่ดีพอ มักจะคิดไปในทางลบ หรือ ทำลาย มากกว่า ทางบวก หรือ สร้างสรรค์

มีคำกล่าวตามพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ พอจะสรุปได้ความดังนี้

“จิตนี้ประภัสสร คือ มีความสะอาด สว่าง และสงบ แต่ที่จิตนี้มีความทุกข์ ความเศร้าหมอง เกิดจากความไม่รู้ในความเป็นจริง และกำลังของสติมีไม่พอ เมื่อมีสิ่งใดเข้ามากระทบย่อมเกิดความทุกข์” ซึ่งนั่นก็หมายความว่า จิตใจของคนเราโดยเนื้อแท้ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ แต่ที่คิดไม่ดี เกิดจากความไม่รู้ หรือ ขาดสติ จึงทำให้คิดบวกไม่ทัน ประกอบกับบางคนที่สั่งสมแต่การคิดร้าย ไม่สร้างสรรค์ อันอาจจะเกิดจากการที่ได้รับประสบการณ์ชีวิต การงาน อาชีพที่ผ่านมาไม่ดีซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงไม่อาจที่จะคิดบวกได้ง่าย

แล้วจะแก้ไขได้อย่างไรดีล่ะ ? ถ้ายังอยากจะแก้ไขตัวเองอยู่ เทคนิคดีๆ ที่น่าสนใจ คือ “การแก้ไขที่จิตใต้สำนึก” เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถปฏิบัติแล้วเห็นผลได้จริง

คนเรามักจะไม่ค่อยรู้ หรือ สังเกตความคิดของตนเอง ว่าในขณะที่เรากำลังพูด หรือ สื่อสาร (ในใจ) กับตัวเอง ซึ่งมีเกือบตลอดเวลา หลังจากได้รับข้อมูลผ่านเข้ามา ทั้งจาก ทางตา หู จมูก ลิ้น การสัมผัส และผุดขึ้นภายในจิตใจ ซึ่งมีทั้งความคิดที่ดี หรือไม่ดี สร้างสรรค์ หรือ ทำลาย สิ่งเหล่านี้ก็จะถูกบันทึกในจิตใต้สำนึกของเราเสมอ ซึ่งตัวจิตใต้สำนึกของเราไม่สามารถแยกแยะ หรือ เลือกที่จะเก็บความคิดที่ดีเพียงอย่างเดียวได้ เมื่อคุณคิด ( ทั้งดี และไม่ดี ) ก็จะถูกเก็บทั้งหมด เมื่อจิตใต้สำนึกเก็บความคิดที่เป็นลบอยู่เสมอ สิ่งที่จะเกิดผลกระทบตามมาคือ พฤติกรรมคุณก็จะเปลี่ยนไปตามที่คุณคิด ดังคำกล่าวที่ว่า “ความคิด กำหนดพฤติกรรม” เมื่อคุณคิดดี พฤติกรรมที่แสดงออกดีด้วย แต่ถ้าคุณคิดร้าย พฤติกรรมร้าย ๆ ก็จะตามมา เมื่อเราทราบเช่นนี้แล้วเราลองมาเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา โดยการเปลี่ยนความคิด ด้วยการป้อนข้อมูลที่เป็นบวกให้กับจิตใต้สำนึกกันดีกว่า



วิธีการเปลี่ยนข้อมูลในจิตใต้สำนึก

1.สิ่งแรกที่สำคัญมากที่สุดในสิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ คือ คุณต้องมีศรัทธา หรือ ความเชื่อก่อนว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต ความคิด หรือ พฤติกรรมของคุณได้ จากการเปลี่ยนข้อมูลในจิตใต้สำนึก หากคุณขาดซึ่งศรัทธา ย่อมจะประสบความล้มเหลว

มีบางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเราจะมีความศรัทธาได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่าปฏิบัติแล้วจะได้ผลจริงหรือไม่ อยากให้เราลองใช้หลัก “กาลามสูตร” อย่าเชื่อทั้งหมด แต่ก็อย่าตัดสินใจปฏิเสธก่อนที่จะนำมาทดลองปฏิบัติ เมื่อเห็นผลแล้วจึงค่อยเชื่อ เมื่อนั้นคุณก็จะเกิดความศรัทธา

2.ทางวิทยาศาสตร์สมอง มีข้อมูลว่า เราสามารถที่จะสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเราได้ในขณะที่ยังมีสติอยู่ คือ ช่วงเวลาที่เรามีคลื่นสมองที่มีความถี่ระหว่าง 9 – 13 รอบต่อวินาที หรือที่เรียกว่า ช่วงคลื่นอัลฟ่า ซึ่งจะเป็นช่วงที่เราทำสมาธิ หรือ เป็นช่วงที่เรารู้สึกผ่อนคลายสุด ๆ เช่น ช่วงที่เราตื่นนอนตอนเช้าใหม่ ๆ หรือ เป็นช่วงที่เราปรับคลื่นสมองโดยการใช้เพลงบรรเลง (โมสาส) ช่วยในการปรับให้สมองมาอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย

คลื่นสมองของคนเราจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ตามความถี่ของคลื่นดังนี้

2.1 คลื่นเบต้า มีความถี่ 14-30 hertz เป็นคลื่นที่เกิดขึ้นขณะที่ตัวเราตื่นตัว มีการเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมต่างๆ หรือเมื่อเกิดภาวะอารมณ์ที่รุนแรง เช่น เครียด ,กลัว ฯลฯ

2.2 คลื่นอัลฟ่า มีความถี่ 9-13 hertz คลื่นนี้เป็นคลื่นที่มีความสงบมากขึ้น และเป็นคลื่นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์มาก เพราะเป็นช่วงที่เราสามารถนำข้อมูลดีดีเข้าสู่ระบบการเรียนรู้ความทรงจำถาวร หรือเป็นการโปรแกรมสมองใหม่ได้ เป็นช่วงที่เรานำข้อมูลจากจิตสำนึก (Concious) ไปสู่จิตใต้สำนึก ( Subconcious) ด้วยเหตุนี้ศาสตร์แห่งการบำบัดหลายแขนงจึงพยายามหาทางให้มนุษย์สามารถมีคลื่นอัลฟ่าเกิดขึ้น เพื่อเป็นการล้างระบบของเสียๆออกจากฐานข้อมูลภายในแล้วนำข้อมูลดีดี เข้ามาแทน ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจอาจทำสิ่งที่ตรงกันข้ามก็ได้

2.3 คลื่นธีต้า มีความถี่ 4-8 hertz เป็นคลื่นสมองที่เกิดตอนเราหลับ หรือทำสมาธิ(เริ่มเข้าฌาน) หรือเมื่อเราตกอยู่ในห้วงสมาธิลึกมากใจจดจ่อจนไม่ได้ยินหรือไม่รับรู้สิ่งแวดล้อมภายนอก

2.4 คลื่นเดต้า มีความถี่ 1-3 hertz เป็นคลื่นที่เกิดในระหว่างหลับลึก ผ่อนคลาย สงบ

3.เมื่อคลื่นสมองอยู่ในช่วงที่ต้องการแล้ว ซึ่งสามารถสังเกตได้จากความสงบภายในจิตใจ รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย เพื่อที่จิตใต้สำนึกจะบันทึกข้อมูลได้ง่ายขึ้น ให้เราเลือกประโยค ข้อความ ที่เราต้องการจะแก้ไข เช่น “ฉันมีความมั่นใจในตัวเอง” หรือ “ฉันเป็นคนที่เรียนเก่ง” (สำหรับคนที่ขาดความมั่นใจ ในตัวเอง) แล้วพูดกับตัวเองในใจ ซ้ำ ๆ กัน 5- 10 รอบ เป็นประจำทุกๆ วัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงเช้า และก่อนเข้านอน

4.จากการวิจัยทางด้านสมองพบว่า คนเราจะเปลี่ยนความคิด หรือ พฤติกรรมได้นั้น เราจะต้องคิด หรือทำสิ่งนั้นติดต่อกันไม่น้อยกว่า 21 วันขึ้นไป แล้วผลที่เราต้องการจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ( เป็นช่วงระยะเวลาที่สมองได้สร้างเส้นใยมารองรับสิ่งที่เราได้เรียนรู้ )

5.สิ่งที่สำคัญอันดับสองรองลงมา คือ เราจะต้องมีสติ ระลึกรู้ให้เท่าทันจิต รู้จักที่จะจับความคิดภายในตนเองได้ทันเมื่อมีการเคลื่อนไหวความคิดไปในทางลบ ขณะเดียวกันเมื่อเราได้ยินสนทนาในทางลบให้รีบขจัดคำสนทนานั้นๆ ทันที ด้วยคำพูด “หยุด หรือ เลิกคิด” จากนั้นใส่ข้อมูลตรงข้ามที่เป็นบวกแทนที่ เช่น

จาก ฉันทำไม่ได้ (ลบ ) เป็น ฉันทำได้แน่นอน ( บวก ) หรือ

จาก ฉันเป็นคนที่ไม่เอาไหน เป็น ฉันก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง เป็นต้น

เทคนิคเหล่านี้จะเกิดผลดีได้ก็ต่อเมื่อคุณนำมาฝึกฝนตัวเองตลอดเวลาด้วยความมานะ และอดทน ดังคำกล่าวของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “คนเราตั้งใจทำอะไรแล้ว จงอย่าท้อถอย อย่าหยุดทำ ผิดแล้วไม่เป็นไร แก้ไขใหม่ ทำมันเรื่อยไป จนกว่าจะถึงที่หมาย” ขอให้โชคดี และหมั่นฝึกฝนเพื่อพัฒนาตน

ขอบคุณผู้เขียน

ที่มาข้อมูล

http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539104800&Ntype=5
 

ปัจจุบันสำคัญที่สุด

“เวลา” เป็นสิ่งที่มีค่ามาก เพราะเมื่อมันผ่านไปแล้วจะไม่มีวันหวนกลับคืน
แต่คนเรามักจะใช้เวลาหมดไปกับสิ่งที่ไร้สาระ
บ้างก็มัวแต่นึกถึงอดีตที่ผ่านเลยไปแล้ว
หรือฟุ้งฝันถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ปล่อยให้วันเวลาผ่านไปอย่างไร้คุณค่า

เราควรให้ความสำคัญและใช้ประโยชน์ จากวันเวลาที่ผ่านไปให้มากที่สุด
จะได้ไม่ต้องมาเสียดายในภายหลังว่า “รู้อย่างนี้น่าจะทำอย่างนั้น...น่าจะทำอย่างนี้”
โดยเฉพาะเวลาในปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่เราต้องให้ความสำคัญมากที่สุด
เพราะเป็นเวลาที่เราต้องให้ความสำคัญมากที่สุด
เพราะเป็นเวลาที่เราจับต้องได้ สามารถกำหนดชะตาชีวิตเราได้



ในเรื่องนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสยืนยันไว้ใน ภัทเทกรัตตสูตร มีใจความว่า..
“ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะอดีตได้ผ่านไปแล้วอนาคตยังมาไม่ถึง
ทั้งอดีตและอนาคตจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรสนใจ
สิ่งที่ควรให้ความสนใจคือ ปัจจุบัน ที่นี่ และเดี๋ยวนี้”

และตรัสอีกว่า “บุคคลไม่ควรคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
บุคคลใดเห็นแจ้งในปัจจุบันธรรม ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนในธรรมนั้นๆ
ผู้นั้นควรเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ควรทำความเพียรเสียในวันนี้หรือไม่
เพราะการผัดเพี้ยนกับความตาย ไม่มีใครทำได้
ผู้รู้ ผู้สงบ ย่อมเรียกผู้ที่มีความเพียรไม่เกียจคร้าน
ทั้งกลางวันและกลางคืนว่า “ผู้มีราตรีเดียวเจริญ”
 
  เมื่อเรารู้แล้วว่า  เวลาปัจจุบันสำคัญที่สุดเรา
ก็ควรมีสติอยู่กับปัจจุบัน  เพราะถ้าเราทำปัจจุบันให้ดี 
เมื่อเวลาผ่านไปมันจะกลายเป็นอดีตที่น่าจดจำ 
และยังเป็นรากฐานไปสู่อนาคตที่เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าอีกด้วย 
โดยเฉพาะในเรื่องการปฏิบัติธรรม  ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับปัจจุบันขณะ
เพราะเป็นการเจริญสติให้อยู่กับปัจจุบันโดยตรง  ไม่ส่งจิตเที่ยวไปภายนอก 
มีใจตั้งมั่นในอารมณ์เดียว 
ถ้าทำได้  เดี๋ยวก็จะพบที่พึ่งภายใน  ที่อยู่ในใจของเราเอง
 
http://www.dmc.tv/pages/แรงบันดาลใจ-จากพระไตรปิฎก/การเจริญสติให้อยู่กับปัจจุบัน.html
 

ความมหัศจรรย์ของการสวดมนต์

อาตมา (สมเด็จโต) ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเอง
ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร
ในสมัยนั้น...เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูติผีวิญญาณตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น
อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใด ก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้
เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์
มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ
เขาเล่าให้อาตมาฟังว่า เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จอต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่
นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตาถึง 7 วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้ อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้ผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้ อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิจนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า..
ข้าแต่ท่านอาจารย์ ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่า.. การสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่าน หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูติผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าของรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการ ที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ อาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป..อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก จะขึ้นมา จึงได้จุดเทียนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้..ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักนักอยู่ อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้นก็อันตรธานหายไป นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้ ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า อานิสงส์ของการสวดมานต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยีงนัก

จากหนังสือ .... อมตะธรรม สมเด็จโตอานิสงส์การสวดมนต์แผ่เมตตามหาบุญ

ชีวิตนี้น้อยนัก

O ชีวิตในชาติปัจจุบันนี้น้อยนัก สั้นนัก พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า อัปฺปกญฺจิทํ ชีวิตมาหุธีรา ... ปราชญ์กล่าวว่าชีวิตนี้น้อยนัก ทุกชีวิต ไม่ว่าคนไม่ว่าสัตว์ มิได้มีเพียงเฉพาะชีวิตนี้ คือมิได้มีเพียงชีวิตในชาตินี้ชาติเดียว แต่ทุกชีวิตมีทั้งชีวิตในชาติอดีต ชีวิตในชาติปัจจุบัน และชีวิตในชาติอนาคต “ชีวิตนี้น้อยนัก” หมายถึงชีวิตในชาติปัจจุบันน้อยนัก สั้นนัก ชีวิตคืออายุ ชีวิตในปัจจุบันชาติของแต่ละคนอย่างยืนนานก็เกินร้อยปีได้ไม่เท่าไหร่ ซึ่งก็ดูราวเป็นอายุที่ไม่ยืนมากนัก แม้ไม่นำไปเปรียบเทียบกับชีวิตที่ต้องผ่านมาแล้วในอดีตที่นับชาติไม่ถ้วนนับปีไม่ได้ และชีวิตที่จะต้องเวียนวนเกิดตายต่อไปอีกในอนาคตที่จะนับชาติไม่ถ้วน นับปีไม่ได้อีกเช่นกัน ที่ปราชญ์ท่านว่า “ชีวิตนี้น้อยนัก” นั้น ท่านมุ่งให้เปรียบเทียบกับชีวิตนี้กับชีวิตในอดีตที่นับชาติไม่ถ้วน และชีวิตในอนาคตที่จะนับชาติไม่ถ้วนอีกเช่นกัน สำหรับผู้ไม่ยิ่งด้วยปัญญา ไม่สามารถพาตนพ้นทุกข์สิ้นเชิงได้

O ทุกชีวิตล้วนผ่านกรรมดีกรรมชั่วมามากมาย ทุกชีวิตก่อนแต่จะได้มาเป็นคนเป็นสัตว์อยู่ในปัจจุบันชาติต่างเป็นอะไรต่ออะไรมาแล้วมากมาย แยกออกไม่ได้ว่ามีกรรมดีกรรมชั่วอะไรบ้าง ทำกรรมใดก่อน ทำกรรมใดหลัง ทั้งกรรมดีกรรมชั่วที่ทำไว้ในชาติอดีตทั้งหลาย ย่อมมากมายเกินกว่าที่ได้มากระทำในชาตินี้ชีวิตนี้อย่างประมาณไม่ได้ และกรรมดีกรรมชั่วทั้งหลายเหล่านั้นย่อมให้ผลตรงตามเหตุทุกประการ แม้ว่าผลจะไม่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันทุกสิ่งทุกอย่าง และไม่อาจเรียงลำดับตามเหตุที่ได้กระทำแล้วก็ตาม แต่ผลทั้งหลายย่อมเกิดแน่ แม้เหตุได้กระทำแล้ว

O ผู้ใดทำเหตุ ย่อมได้รับผลตรงตามเหตุแน่นอน เมื่อมีเหตุย่อมมีผล เมื่อทำเหตุย่อมได้รับผล และผลย่อมตรงตามเหตุเสมอ ผู้ใดทำผู้นั้นจักเป็นผู้รับผล เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อใดกำลังมีความสุข ไม่ว่าผู้กำลังมีความสุขนั้นจะเป็นเราหรือเขา เมื่อนั้นพึงรู้ความจริง ว่าเหตุดีที่ได้ทำไว้แน่กำลังให้ผล ผู้ทำเหตุดีนั้นกำลังเสวยผลแห่งเหตุนั้นอยู่ แม้ปุถุชนจะไม่สามารถหยั่งรู้ให้เห็นแจ้งได้ ว่าทำเหตุดีหรือกรรมดีใดไว้ แต่ก็พึงรู้พึงมั่นใจ ว่าเหตุแห่งความสุขที่กำลังได้เสวยอยู่เป็นเหตุดีแน่ เห็นกรรมดีแน่ ผลดีเกิดแต่เหตุดีเท่านั้น ผลดีไม่มีเกิดแต่เหตุไม่ดีได้เลย เมื่อใดที่กำลังมีความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่ว่าผู้กำลังมีความทุกข์ความเดือดร้อนนั้นจะเป็นเราหรือเป็นเขา เมื่อนั้นพึงรู้ความจริง ว่าเหตุไม่ดีที่ได้ทำไว้แน่กำลังให้ผล ผู้ทำเหตุไม่ดีนั้นกำลังเสวยผลแห่งเหตุนั้นอยู่ แม้ปุถุชนจะไม่สามารถหยั่งรู้ให้เห็นแจ้งได้ ว่าทำเหตุไม่ดีหรือกรรมไม่ดีใดไว้ แต่ก็พึงรู้พึงมั่นใจว่าเหตุแห่งความทุกข์ความเดือดร้อนที่กำลังได้เสวยอยู่ เป็นเหตุไม่ดีแน่ เป็นกรรมไม่ดีแน่ ผลไม่ดีเกิดเกิดแต่เหตุไม่ดีเท่านั้น ผลไม่ดีไม่มีเกิดแต่เหตุดีได้เลย

O ทำดีต้องได้ดีเสมอ ไม่มีข้อยกเว้นด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น เมื่อใดมีความคิดว่า เราทำดีไม่ได้ดี หรือเขาทำดีไม่ได้ดี ก็พึงรู้ว่าเมื่อนั้นกำลังหลงคิดผิดไปจากความจริง กำลังเข้าใจผิดจากความจริง ทำดีต้องได้ดีเสมอ ไม่มียกเว้นด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น เมื่อใดมีความคิดว่า เราทำไม่ดีแต่กลับได้ดี หรือเขาทำไม่ดีแต่กลับได้ดี ก็พึงรู้ว่าเมื่อนั้นกำลังหลงคิดผิดจากความจริง กำลังเข้าใจผิดจากความจริง ทำไม่ดีต้องได้ไม่ดีเสมอ ไม่มียกเว้นด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น ชีวิตในชาตินี้ชาติเดียวย่อมน้อยนัก เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตในอดีตชาติ ซึ่งนับชาติหาถ้วนไม่ ดังนั้น กรรมคือการกระทำ ที่ทำในชีวิตนี้ชาตินี้ชาติเดียวจึงน้อยนัก เมื่อเปรียบเทียบกับกรรมหรือการกระทำที่ทำไว้แล้วในอดีตชาติ อันนับจำนวนชาติไม่ถ้วน

O ความซับซ้อนของกรรม การเขียนหนังสือด้วยปากกาหรือดินสอลงบนกระดาษแผ่นเดียวนั้น เขียนลงครั้งแรกก็ย่อมอ่านออกง่าย อ่านเข้าใจได้ง่าย แต่ยิ่งเขียนทับเขียนซ้ำลงไปบนกระดาษแผ่นเดียวกันนั้น ตัวหนังสือย่อมจะทับกันยิ่งขึ้นทุกที การอ่านก็จะยิ่งอ่านยากขึ้นทุกทีจนถึงอ่านไม่ออกเลย ไม่เห็นเลยว่าเป็นตัวหนังสือ จะเห็นแต่รอยหมึกหรือรอยดินสอทับกันไปทับกันมาเป็นสีสันเท่านั้น ให้เพียงรู้เท่านั้นว่าได้มีการเขียนอะไรลงบนกระดาษแผ่นนั้น หาอ่านรู้เรื่องไม่และหาอาจรู้ได้ได้ ว่าเขียนอะไรก่อนเขียนอะไรหลัง นี้ฉันใด การทำกรรมหรือการทำดีทำชั่วก็ฉันนั้น ต่างได้ทำกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทับถมกันมายิ่งกว่าตัวหนังสือที่อ่านไม่ออก หารู้ไม่ว่าได้เขียนอะไรก่อนเขียนอะไรหลัง ทำกรรมแบบใดไว้ก็ไม่รู้ ไม่เห็น แยกไม่ออกว่าทำกรรมใดก่อนทำกรรมใดหลัง ทำดีอะไรไว้บ้าง ทำไม่ดีอะไรไว้บ้าง มากน้อยหนักเบากว่ากันอย่างไร มาถึงชาตินี้ไม่รู้ด้วยกันทั้งสิ้น เป็นความซับซ้อนของกรรมที่แยกไม่ออก เช่นเดียวกับความซับซ้อนของตัวหนังสือที่เขียนทับกันไปทับกันมา

O ผลแห่งกรรมเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงการกระทำ ความซับซ้อนของกรรมแตกต่างกับความซับซ้อนของตัวหนังสือ ตรงที่ตัวหนังสือเขียนทับกันมาก ๆ ย่อมไม่มีทางรู้ว่าเขียนเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีอย่างไร แต่กรรมนั้น แม้ทำซับซ้อนมากเพียงไร ก็มีทางรู้ว่าทำกรรมดีไว้มากน้อยเพียงไร หรือกรรมไม่ดีไว้มากน้อยเพียงไร โดยมีผลที่ปรากฏขึ้นของกรรมนั้นเองเป็นเครื่องช่วยแสดงให้เห็น ชีวิตหรือชาตินี้ของทุกคนมีชาติกำเนิดไม่เหมือนกัน เป็นคนไทยก็มี จีนก็มี แขกก็มี ฝรั่งก็มี มีชาติตระกูลไม่เสมอกัน ตระกูลสูงก็มี ตระกูลต่ำก็มี มีสติปัญญาไม่ทัดเทียมกัน ฉลาดหลักแหลมก็มี โง่เขลาเบาปัญญาก็มี มีฐานะต่างระดับกัน ร่ำรวยก็มี ยากจนก็มี ความแตกต่างห่างกันนานาประการ เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องชี้ให้ผู้เชื่อในกรรมและผลของกรรมเห็นความมีภพชาติในอดีตของแต่ละชีวิตในชาติปัจจุบัน เกิดมาต่างกันในชาตินี้เพราะทำกรรมไว้ต่างกันในชาติอดีต

O อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของกรรม นำให้เกิดความแตกต่างของชีวิต ความแตกต่างของชีวิตที่สำคัญที่สุด ที่แสดงให้เห็นอำนาจที่ใหญ่ยิ่งที่สุดของกรรมคือความได้ภพชาติของพรหมเทพ ความได้ภพชาติของมนุษย์ กับความได้ภพชาติของสัตว์ เทวดาอาจมาเป็นมนุษย์ได้ เป็นสัตว์ได้ มนุษย์อาจไปเปิดเทวดาได้ เป็นสัตว์ได้ และสัตว์ก็อาจไปเป็นเทวดาได้ เป็นมนุษย์ได้ ด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของกรรมอันนำให้เกิด นี้เป็นความจริงที่แม้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงนี้ก็ย่อมเป็นความจริงเสมอไป ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากความจริงได้ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ควรกลัวอย่างหนึ่ง คือกลัวการไม่ได้กลับมาเกิดเป็นคน ไม่ได้ไปเกิดเป็นเทวดา
เทวดามาถือภพชาติเป็นมนุษย์เป็นที่ยอมเชื่อถือกันมากกว่าเทวดาจะไปเป็นอะไรอื่น จึงมีคำบอกเล่าหรือสันนิษฐานกันอยู่เสมอ ว่าผู้นั้นผู้นี้เป็นเทวดามาเกิด

O กรรม....ทำให้เทวดามาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ทั้งนี้ก็โดยสันนิษฐานจากความปราณีตงดงามสูงส่งของผู้นั้นผู้นี้ บางรายก็มีพร้อมทุกประการ ทั้งชาติ ตระกูลที่สูง ฐานะที่ดี ผิวพรรณวรรณะที่งาม กิริยาวาจามารยาทที่สุภาพอ่อนโยนไพเราะ เรียบร้อย เฉลียวฉลาด บางผู้แม้ไม่พร้อมทุกประการดังกล่าว ก็ยังได้รับคำพรรณนาว่าเป็นเทวดา นางฟ้ามาเกิด เพราะผิวพรรณ มารยาทงดงาม อ่อนโยน นุ่มนวล นี้ก็คือการยอมรับอยู่ลึก ๆ ในใจของคนส่วนมากว่าเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์ได้ เทวดามาเกิดป็นมนุษย์มีตัวอย่างสำคัญยิ่งที่พึงกล่าวถึงได้เป็นที่ยอมรับทั่วไป โดยเฉพาะในหมู่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย นั่นคือ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจากสวรรค์ชั้นดุสิตเสด็จลงโลกมนุษย์ ประสูติเป็นพระสิทธัตถะราชกุมาร พระราชโอรสพระเจ้าสุทโธทนากับพระนางสิริมหามายา เรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนาที่รู้จักกันกว้างขวาง คือ เรื่องของเทพธิดาเมขลา เทพธิดาองค์นี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้พิทักษ์รักษามหาสมุทร มีหน้าที่คอยคุ้มครองช่วยเหลือมนุษย์ผู้ถือไตรสรณาคมน์ มีศีลสมบูรณ์ ปฏิบัติชอบต่อมารดาบิดา พราหมณ์โพธิสัตว์เดินทางไปเรือแตกกลางมหาสมุทร พยายามว่ายเข้าฝั่งอยู่ถึง ๗ วัน เทพธิดาเมขลาจึงแลเห็น ได้ไปแสดงตนต่อพระมหาสัตว์ทันที รับรองจะให้ทุกอย่างที่พระมหาสัตว์ปรารถนา และได้เนรมิตสิ่งที่พระมหาสัตว์ขอทุกอย่าง คือเรือทิพย์และแก้วแหวนเงินทอง พระมหาสัตว์พ้นจากมหาสมุทร ได้บำเพ็ญทานรักษาศีลจนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้วได้ไปบังเกิดในเมืองสวรรค์ พระมหาสัตว์ครั้งนั้นต่อมาคือพระพุทธเจ้า เทพธิดาเมขลาต่อมาคือ พระอุบลวัณณาเถรี และผู้ดูแลช่วยเหลือพระมหาสัตว์ต่อมาคือพระอานนท์ นี้คือเทวดาถือภพชาติเป็นมนุษย์ได้ อย่างน้อยก็ตามความเชื่อถือ จึงมีการเล่าเรื่องเทพธิดาเมขลาดังกล่าว

O มนุษย์เกิดเป็นเทวดาได้ เพราะกรรมที่กระทำ เทวดามาเกิดเป็นมนุษย์ได้ และมนุษย์ก็เกิดเป็นเทวดาได้ ดังที่สมเด็จพระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันได้ทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกว่า เมื่อทรงเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์หัวหน้าพ่อค้าเกวียน ได้ทรงซื้อสินค้าในนครพาราณสีบรรทุกเกวียนนำพ่อค้าจำนวนมากเดินทางไปในทางกันดาร เมื่อพบบ่อน้ำก็พากันขุดเพื่อให้มีน้ำดื่ม ได้พบรัตนะมากมายในบ่อนั้น พระโพธิสัตว์ทรงเตือนว่า ความโลภเป็นเหตุแห่งความพินาศ แต่ไม่มีผู้เชื่อฟัง พวกพ่อค้ายังขุดบ่อต่อไปไม่หยุด หวังจะได้รัตนะมากขึ้น บ่อนั้นเป็นบ่อที่อยู่ของพญานาค เมื่อถูกทำลาย พญานาคก็โกรธใช้ลมจมูกเป่าพิษถูกพ่อค้าเสียชีวิตหมดทุกคน เหลือแต่พระโพธิสัตว์ที่มิได้ร่วมการขุดบ่อด้วย จึงได้รัตนะมากมายถึง ๗ เล่มเกวียน ท่านนำออกเป็นทาน และได้สมาทานศีล รักษาอุโบสถจนสิ้นชีวิต ได้ไปเกิดในสวรรค์ เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นเทวดาได้ มนุษย์มีบุญกุศลและความดีพร้อมทั้งกายวาจาใจมากเพียงไร ก็จะเกิดเป็นเทวดาได้เพียงนั้น คือสามารถขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงได้เมื่อละโลกนี้แล้ว

O กรรมทำให้มนุษย์เกิดเป็นสัตว์ได้ มนุษย์เกิดเป็นเทวดาได้ และเกิดเป็นสัตว์ก็ได้ ในสมัยพุทธกาลชายผู้หนึ่งโกรธแค้นรำคาญสุนัขตัวหนึ่งที่ติดตามอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าทรงทราบก็ได้ตรัสแสดงให้รู้ว่า บิดาที่สิ้นไปแล้วนั้นมาเกิดเป็นสุนัข และได้ทรงให้พิสูจน์ โดยบอกให้สุนัขนำไปหาที่ซ่อนทรัพย์ ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้นอกจากผู้เป็นบิดาของชายผู้นั้น และสุนัขก็พาไปขุดพบสมบัติที่ฝังไว้ก่อนสิ้นชีวิตได O อานุภาพของการให้ความเคารพในพระธรรม ก็นำสัตว์ให้มาเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์ได้ สัตว์ไปเกิดเป็นเทวดาได้คงจะมีเป็นอันมาก มีเรื่องต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาที่เล่ากันสืบมา คือในสมัยพุทธกาล มีสัตว์ได้ยินเสียงพระท่านสวดมนต์ก็ตั้งใจฟังโดยเคารพ ตายไปก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพในสวรรค์ ด้วยอานุภาพของการให้ความเคารพในพระธรรมของพระพุทธเจ้า สัตว์มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ นี้ต้องเป็นที่เชื่อถืออยู่ลึก ๆ ในจิตสำนึก จึงแม้เมื่อพบมนุษย์บางคนบางพวกก็ได้มีการแสดงความรู้สึกจริงใจออกมาต่าง ๆ กัน เช่น ลิงมาเกิดแท้ ๆ สัตว์นรกมาเกิดแน่ ๆ ทั้งนี้ก็เห็นจากหน้าตาท่าทางบ้าง กิริยามารยาท นิสัยใจคอความประพฤติบ้าง ซึ่งโดยมากผู้ที่พบเห็นด้วยกันก็จะมีความรู้สึกตรงกันดังกล่าว เป็นความรู้สึกที่เกิดจากความเชื่อนั่นเอง ว่าสัตว์มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ หรือมนุษย์เกิดมาจากสัตว์ได้

http://www.dhammajak.net/book-somdej3/11.html

ใช้เวลาเพื่อจรรโลงชีวิต

ข้อควรปฏิบัติ 10 ประการ



1. ใช้เวลาที่จะ คิด เพราะความคิดเป็นบ่อเกิดแห่งพลัง

2. ใช้เวลาที่จะ เล่น เพราะจะทำให้พลังความเป็นหนุ่มคงอยู่ตลอดกาล

3. ใช้เวลาที่จะ อ่าน เพราะการอ่านทำให้เกิดความฉลาดและรอบรู้

4. ใช้เวลาที่จะ สวดมนต์ภาวนา สร้างพลังแห่งการต่อสู้ในภาวะที่เกิดปัญหา หรือในภาวะที่ต้องผจญกับปัญหา

5. ใช้เวลาที่จะ รัก เพราะความรักทำให้ชีวิตมีค่า

6. ใช้เวลาที่จะ หัวเราะ เพราะการหัวเราะเป็นเสมือนดนตรีที่จะให้สุนทรีย์แห่งจิตใจ

7. ใช้เวลาที่จะ สร้างมิตรคบเพื่อน เพราะการสร้างมิตรคบเพื่อนสร้างรสชาติให้กับชีวิต

8. ใช้เวลาที่จะ ทำบุญทำกุศล เพราะความเพียรในกุศล ควรทำเสียในวันนี้ ใครจะรู้ความตายว่าจักมี ในวันพรุ่งนี้

9. ใช้เวลาที่จะ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเพื่อความภาคภูมิใจ สร้างกำลังใจและความชื่นชมให้กับตัวเอง

10. ใช้เวลาที่จะ สำนึกถึงบุญคุณของผู้อื่น เพราะการรู้สำนึกต่อบุญคุณของผู้อื่นหรือกตัญญูต่อผู้มีอุปการคุณแก่เรา จะช่วยให้ตัวเราเป็นที่ชื่นชอบและชื่นชมมากขึ้นเท่านั้น

(Ray Blignaut )